เช็กสักนิด! อาการของโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก เป็นแบบไหนบ้าง

เช็กสักนิด! อาการของโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก เป็นแบบไหนบ้าง

ปัจจุบันมีโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งในมะเร็งที่มีอัตราการเป็นติดท็อปลิสต์ทุกปี คงหนีไม่พ้น  “โรคมะเร็งลำไส้ และทวารหนัก” ซึ่งมีหลายสาเหตุ และหลายปัจจัย ที่ทำให้เกิดโรคนี้ ซึ่งคุณไม่สามารถคาดเดาได้ เพียงแต่ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และป้องกันตัวเองออกจากโรคร้ายให้มากที่สุด ดังนั้น ใครที่รู้ตัวว่า มีความเสี่ยงจากพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ ลองมาสังเกตตัวเองสักนิด ว่ามีความเสี่ยงจะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือทวารหนักบ้างหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้ว ลองมาดูกัน

1 ใน 3 ของโรคมะเร็งที่คนเป็นมากที่สุด

หน้าที่ของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นส่วนหนึ่งของระบบย่อยอาหารของร่างกาย มีหน้าที่ดูดซึมอาหารที่ผ่านการย่อยแล้ว และน้ำจากอาหารที่กินเข้าไป และยังเป็นที่เก็บกากอาหารก่อนที่จะขับถ่ายออกจากร่างกายทางทวารหนัก โดยลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีลักษณะเป็นท่อยาวมีผนังประกอบด้วยกล้ามเนื้อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-10 เซนติเมตร ความยาวประมาณ 6 ฟุต จัดเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย

รู้หรือไม่! โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับที่สามของคนไทย ความน่ากลัวกว่านั้น คือ คนส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งชนิดนี้ คือ ระยะที่เป็นมากเกินการรักษา ทำให้มีโอกาสในการเสียชีวิตที่สูง อีกทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก จะพบได้ในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ก็ใช่ว่าวัยอื่นๆ จะไม่มีโอกาส โดยอายุเฉลี่ยของคนไทยที่พบมะเร็งชนิดนี้ จะอยู่ในช่วง 60-65 ปี หรือคนที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ลักษณะอาการเบื้องต้นของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก คือ ระบบขับถ่ายที่ผิดปกติ , ท้องผูก ปวดเบ่งในช่วงทวารหนัก ถ่ายไม่สุด ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดหรือเป็นเลือดแดงสด อาจมีเลือดปนมากับอุจจาระคล้ายกับโรคริดสีดวงทวารหนัก

ทำความเข้าใจกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

หลายคนอาจสงสัยว่า ลำไส้กับทวารหนัก แม้จะทำงานร่วมกันแต่ก็เป็นอวัยวะคนละส่วน เราเลยจะอธิบายให้เข้าใจ สำหรับมะเร็งที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เรียกว่า “มะเร็งลำไส้ใหญ่” มะเร็งที่เกิดขึ้นในทวารหนัก เรียกว่า “มะเร็งทวารหนัก” พบได้ในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่คนอายุน้อย หรือวัยรุ่นก็สามารถเป็นได้ แต่โอกาสน้อยกว่า ส่วนมะเร็งลำไส้และทวารหนัก จะมีความสัมพันธ์กับอาหารการกิน โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันและให้พลังงานสูง แต่มีกากใยน้อย ทำให้อาหารเหล่านี้มีบทบาทที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

อาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

สำหรับอาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สามารถสังเกตได้ ดังนี้

  1. พฤติกรรมในการขับถ่ายอุจจาระเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ขับถ่ายยากขึ้น คล้ายอาการท้องผูก
  2. มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูก หรือมีความรู้สึกว่า ถ่ายอุจจาระไม่สุด
  3. มีเลือดสด ๆ หรือเลือดดำปนออกมากับอุจจาระ
  4. อุจจาระมีลักษณะผิดปกติจากเดิมเป็นก้อนเปลี่ยนเป็นแบบคล้ายตังเม
  5. มีท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง จุกเสียด มีลมในลำไส้มาก
  6. น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  7. เหนื่อย อ่อนเพลียไม่มีแรงตลอดเวลา
  8. คลื่นไส้อาเจียน

หากเช็คลิสต์แล้วมีอาการตามนี้ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยอาการสำคัญของโรค คือ เรื่องการขับถ่าย จากที่เคยทำงานปกติ อาจถ่ายน้อยหรือไม่ถ่ายเลย บางคนถ่ายเพียงอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น เรียกว่า น้อยมากหากเทียบกับคนทั่วไป ดังนั้น ควรระลึกอยู่เสมอว่า ถ้ากลั้นอุจจาระไว้ไม่ยอมถ่าย เมื่อเกิดความรู้สึกอยากถ่ายไม่ว่า ด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะเป็นการซ้ำเติมอาการท้องผูกให้เป็นมากยิ่งขึ้น

เสริมภูมิคุ้มกันช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ด้วยเทคนิคเหล่านี้

เทคนิคที่จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น มีดังนี้

1. เลือกอาหารไฟเบอร์สูง

ข้อแรกควรทานอาหารที่มีกากหรือไฟเบอร์ เพื่อช่วยให้ปริมาณอุจจาระมากพอ จะเคลื่อนตัวในลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น แต่การทานอาการที่มีกากใย จะได้ผลเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกแบบไม่รุนแรง แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง การทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือกากใยสูงเกินไป อาจทำให้ท้องอืด และปวดท้องได้ ส่วนการขาดน้ำหรือเกลือแร่ ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำกลับมากขึ้น ทำให้อุจจาระมีก้อนแข็งมากและถ่ายลำบาก การดื่มน้ำมากขึ้นจะทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มถ่ายง่าย

2.การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหว

แน่นอนว่าการออกกำลังกาย จะช่วยทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น ทำให้ถ่ายได้บ่อยขึ้น ผู้ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย ดังนั้นมาขยับตัวกันเถอะ แค่วันละ 30 นาทีเท่านั้น จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น และการขับของเสียออกจากร่างกายก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติ อาจเริ่มด้วยการเดินเร็ว , ปั่นจักรยาน หรือเล่นโยคะ สามารถเลือกที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายได้

3.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด

ต่อด้วยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนัก เพราะถ้ากระเพาะต้องย่อยมาก การหลั่งกรดในกระเพาะ และการบีบตัวของกระเพาะจะมากขึ้น วิธีแก้ง่าย ๆ คือ รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ควรทานให้ครบเวลา ทั้งอาหารเช้า กลางวัน เย็น ในเวลาที่เหมาะสม และรับประทานอาหารแต่ละมื้อในเวลาเดียวกันทุกวัน

4.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ข้อนี้สำคัญมาก ใครที่ดื่มน้ำน้อยต้องฟัง! เราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพราะน้ำทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารได้สะดวก จะเห็นว่า ถ้าดื่มน้ำน้อย มักมีอาการท้องผูก และระบบย่อยอาหารทำงานยาก ดังนั้น ใครที่รู้ตัวว่า ดื่มน้ำน้อย ลองปรับเปลี่ยนใหม่ อาจเลือกขวดน้ำที่ระบุปริมาณที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณดื่มง่ายขึ้นด้วย

โรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ถือเป็นโรคที่น่ากลัวมาก ยิ่งใครที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือเริ่มมีอาการที่ใกล้เคียงกับโรค อาจถึงเวลาที่เราต้องปรับพฤติกรรมใหม่ เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ซึ่งใครที่อยากได้เกราะป้องกันร่างกายดีๆ เราขอแนะนำ STC Plus ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพลูขาว กระชายขาว ช่วยซ่อมแซมลึกถึงระดับเซลล์ พร้อมลดโอกาสในการเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกาย ทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก , มะเร็งปอด ฯลฯ เป็นอาหารเสริมที่ทานง่าย และช่วยบำรุงร่างกายได้ทันที

อาการท้องผูก โรคร้ายกวนใจ ที่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

สั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว

คำสั่งซื้อเลขที่